ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บิ๊กไมเนอร์ชงนายกประยุทธ์ปรับปรุงนโยบาย “Test & Go”

 ✈️🇹🇭 บิ๊กไมเนอร์ชงนายกประยุทธ์ปรับปรุงนโยบาย “Test & Go” ขอให้รัฐบาลยกเลิกการตรวจหาเชื้อครั้งที่2เลิกใช้ระบบ Thailand Pass มั่นใจช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับนักท่องเที่ยวแต่จะมีส่วนสำคัญที่ทำให้นักท่องเที่ยวอีกจำนวนมากอยากที่จะมาเที่ยวไทยอีกครั้ง

วันนี้ (18 กุมภาพันธ์ 2565) นายวิลเลี่ยม เอ็ลล์วู๊ด ไฮเน็ค ประธานกรรมการบริษัทไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ทำหนังสือเปิดผนึกถึงพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี  เรื่องข้อเสนอแนะในการปรับปรุงนโยบาย “Test & Go” โดยระบุว่า

ก่อนอื่นผมใคร่ขอสนับสนุนการตัดสินใจของรัฐบาลในกลับมาใช้นโยบายการต้อนรับนักท่องเที่ยวแบบ Test & Go อีกครั้ง ซึ่งผมเองมีความเชื่อมั่นว่าประเทศของเราจะค่อยๆ เริ่มเห็นการฟื้นตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ หลังจากที่ความกังวลใจในเรื่องการระบาดของโควิด-19 เริ่มลดลง อย่างไรก็ตาม ผมอยากขออนุญาตแสดงความคิดเห็นบางอย่างเกี่ยวกับวิธีการและแนวทางในการปรับปรุงประสิทธิภาพของการเปิดประเทศ เพื่อให้ประเทศไทยของเราประสบความสำเร็จในการต้อนรับนักท่องเที่ยวกลับมา

เราน่าจะได้เห็นแล้วว่าตั้งแต่เริ่มมีการเปิดประเทศประเทศไทยของเรานั้นไม่ประสบความสำเร็จในการดึงดูดนักท่องเที่ยวกลับมาและหลายสาเหตุนั้นมาจากการที่ประเทศไทยมีกฏเกณฑ์และข้อกำหนดด้านการเข้าประเทศอันเกี่ยวข้องกับการควบคุมและดูแลการระบาดของโควิด-19ซึ่งหลายๆข้อบังคับเหล่านี้อาจไม่มีความสมเหตุสมผลอีกต่อไปแล้วนับตั้งแต่ที่มีการเปิดประเทศจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติและรายรับจากการท่องเที่ยวที่ประเทศได้รับมาจนถึงขณะนี้ ถือเป็นปริมาณที่น้อยมาก หากเทียบกับก่อนที่จะมีโรคระบาดหากเราไม่รีบยกเลิกกฎระเบียบที่ยุ่งยากเหล่านี้อย่างทันท่วงที ประเทศไทยจะถูกทิ้งให้อยู่ข้างหลังประเทศอื่นๆ ในโลก และภาคการท่องเที่ยวอาจต้องเผชิญกับความสูญเสียที่สูงมากขึ้นไปอีก

เงื่อนไขเพิ่มเติมที่มาพร้อมกับการกลับมาใช้นโยบาย “Test & Go” ซึ่งมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมานี้ ก่อให้เกิดความท้าทายอย่างมากต่อการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย การขอให้มีการตรวจ RT-PCR ครั้งที่ 2 ในวันที่ 5 ของการเดินทาง โดยนักท่องเที่ยวจำเป็นต้องเข้าพักในโรงแรมเพื่อรอผลการตรวจ ถือเป็นภาระกับนักท่องเที่ยวที่มากเกินไป หากเทียบกับความปลอดภัยที่อาจเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย และถึงแม้ว่าภาครัฐจะอนุญาตให้นักท่องเที่ยวสามารถจองโรงแรมคนละแห่งกันในการทำการตรวจหาเชื้อภาคบังคับสำหรับทั้งสองวันนี้ แต่ข้อกำหนดที่บังคับให้มีการจองโรงแรมล่วงหน้าอย่างเข้มงวดนี้ ก็ถือเป็นอุปสรรคต่อการวางแผนการเดินทางของนักท่องเที่ยวอยู่ดี 

รัฐบาลควรยกเลิกการตรวจหาเชื้อภาคบังคับครั้งที่2พร้อมกันกับการเลิกใช้ระบบ Thailand Pass และข้อบังคับด้านการทำประกันโควิด-19 สำหรับนักท่องเที่ยว การแก้ไขดังกล่าวไม่เพียงจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความสะดวกสบายให้กับนักท่องเที่ยวแต่การเปลี่ยนแปลงนี้จะมีส่วนสำคัญที่ทำให้นักท่องเที่ยวอีกจำนวนมากอยากที่จะมาเที่ยวประเทศไทยอีกครั้ง

นอกจากนี้กระบวนการเปิดประเทศของเราโดยรวมยังมีความไม่สอดคล้องกันในหลายประการซึ่งสร้างความสับสนให้กับทุกๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ในหลายๆ ครั้งผู้ว่าราชการจังหวัดและคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติมีคำสั่งที่อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งกันในบางประการทำให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวต้องใช้เวลานานในการทำความเข้าใจผ่านกระบวนการต่างๆ ที่ยืดเยื้อ เพื่อหาข้อมูลมายืนยันเกี่ยวกับแนวทางการปฏิบัติที่ถูกต้อง โดยทั้งหมดนี้เพื่อให้สามารถทำตามกฏกติกาใหม่ๆ ที่ภาครัฐออกมาได้ โครงสร้างการจัดการตามแนวการกระจายอำนาจที่เป็นอยู่นี้ ทำให้หน่วยงานท้องถิ่นสามารถดำเนินนโยบายที่แตกต่างกันออกไป ส่งผลให้เกิดความเข้าใจผิดต่อหลักและแนวทางการดำเนินธุรกิจทั้งสำหรับผู้ประกอบการโรงแรม นักท่องเที่ยวและผู้ประกอบการอื่นๆ ในภาคการท่องเที่ยว ด้วยเหตุผลดังกล่าว

ผมจึงมีความเห็นว่าเราควรมีระบบที่เป็นศูนย์รวมการสั่งการที่ชัดเจนจากภาครัฐนโยบายอันเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาและดำเนินการในระดับประเทศเหมือนดังเช่นที่เราเคยทำมาตลอดในช่วงวิกฤตอื่นๆ ที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ ผู้กำหนดนโยบายควรเข้าใจถึงความสำคัญของภาคการท่องเที่ยวอย่างถ่องแท้ และพร้อมที่จะให้การสนับสนุนผู้ประกอบการในการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และกระบวนการใหม่ๆ

ข้อจำกัดต่างๆหลายประการที่ใช้เฉพาะเจาะจงกับนักท่องเที่ยวต่างชาตินั้นอาจไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป เนื่องจากการแพร่ระบาดในประเทศของ Omicron ได้กระจายไปในวงกว้างแล้ว การเปิดประเทศจึงควรเป็นในรูปแบบที่เรียบง่ายที่สุด โดยหลีกเลี่ยงกระบวนการที่มีความซับซ้อนยุ่งยาก ซึ่งจะสร้างภาระที่ไม่จำเป็นให้กับนักท่องเที่ยว ประเทศไทยควรเลือกที่จะปฏิบัติตามกฎการเข้าประเทศของจุดหมายปลายทางที่มีเศรษฐกิจที่พึ่งพาการท่องเที่ยวเป็นสำคัญ เช่น มัลดีฟส์ ดูไบ สหรัฐอเมริกา และประเทศในทวีปยุโรป

โดยในเวลานี้จุดหมายปลายทางทั้งหลายเหล่านี้เริ่มเห็นการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวในเชิงบวกแล้วและกำลังค่อยๆ กลับไปสู่ระดับก่อนที่จะมีโรคระบาด จากการรวบรวมข้อมูลของเว็บไซต์ sherpa เกี่ยวกับนโยบายและกฏระเบียบในการเข้าประเทศของแต่ละประเทศในเวลานี้พบว่า มีจำนวนประเทศกว่า 100 ประเทศ ที่มีข้อกำหนดในการเข้าประเทศที่เข้มงวดน้อยกว่านโยบายที่ประเทศไทยกำลังใช้อยู่ โดยในหลายๆ ประเทศเหล่านี้ก็มีจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รายวันที่สูงกว่าในประเทศไทยอีกด้วย หากแต่รัฐบาลของพวกเขาเหล่านั้นเลือกที่จะรับมือกับไวรัสโควิด-19 ในฐานะโรคประจำถิ่นแล้ว ทำให้ข้อจำกัดต่างๆ ไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป ซึ่งเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าประเทศที่มีนโยบายการเปิดประเทศเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวที่ค่อนข้างเสรีจะได้เห็นการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวที่รวดเร็วและแข็งแกร่งกว่า หากเทียบกับประเทศที่มีนโยบายที่ค่อนข้างเข้มงวด อย่างเช่น ประเทศไทย เป็นต้น

ผมขออนุญาตเน้นย้ำอีกครั้งว่า Thailand Pass ซึ่งเป็นระบบการลงทะเบียนเพื่อขอรับการอนุมัติเข้าประเทศล่วงหน้า ก่อให้เกิดผลกระทบเชิงลบมากกว่าเชิงบวก ผมแนะนำว่าประเทศไทยควรยึดตามหลักปฏิบัติที่ใช้กันในหลายๆ ประเทศ รวมถึงสายการบินต่างๆ เช่น การขอหลักฐานการฉีดวัคซีน และผลตรวจโควิด-19 ซึ่งก็นับว่าเพียงพอแล้ว โดยพร้อมกันนี้ ผมได้รวบรวมความคิดเห็นของผู้ที่ได้มีประสบการณ์เดินทางเข้ามายังประเทศไทยผ่านโครงการ Test & Go ซึ่งแสดงให้เห็นว่าโครงการมีความยุ่งยากเกินไป (โปรดดูภาพประกอบในภาคผนวก 1 ด้านล่างเพื่อการอ้างอิง) การยกเลิกกฎระเบียบที่ยุ่งยากเหล่านี้ควรเป็นสิ่งที่รัฐบาลควรให้ความสำคัญสูงสุด เพื่อเร่งปลดล็อกการฟื้นตัวให้กับภาคการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจไทย

หลังจากนี้ เราก็อาจจะต้องเผชิญกับการระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่ๆ ต่อไป ซึ่งหากเป็นอย่างนั้นจริง การกลับไปสู่สภาวะการปิดประเทศและล็อกดาวน์อีกครั้งคงเป็นทางเลือกที่เลวร้ายที่สุด ถึงเวลาแล้วที่เราต้องปรับตัวและเรียนรู้ที่จะหาวิธีอยู่กับไวรัสนี้ ผมขอขอบพระคุณล่วงหน้าสำหรับการพิจารณาของท่านนายกรัฐมนตรีในเรื่องนี้ หากท่านมีคำถามหรือข้อกังวลอื่นใด ผมหวังว่าจะมีโอกาสได้หารือในรายละเอียดกับท่านต่อไป


ที่มา: ฐานเศรษฐกิจ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

นายกฯ เชื่อมั่นงานตรุษจีน เยาวราช ปี 2567 ปลอดภัย จัดยิ่งใหญ่แน่นอน

วันนี้ (26 มกราคม 2567) เวลา 09.00 น. ณ สนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย นำคณะผู้จัดงานตรุษจีนเยาวราช เข้าพบนายเศรษฐา ทวีสิน  นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อมอบเสื้อตรุษจีน ซึ่งมีสัญลักษณ์ “มังกร” จากภาพวาดฝีพระหัตถ์ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อประชาสัมพันธ์การจัดงานเทศกาลตรุษจีน ประจำปี  2567 ณ บริเวณถนนเยาวราช กรุงเทพมหานคร จัดขึ้นระหว่างวันที่ 10-11 กุมภาพันธ์ 2567 ซึ่งวันตรุษจีนปีนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2567 พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าเนื่องในเทศกาลวันตรุษจีนได้เน้นย้ำให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องดูแลเรื่องความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยวถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะขณะนี้นักท่องเที่ยวเริ่มกลับเข้ามาในประเทศไทยแล้ว ซึ่งปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาท่องเที่ยวประเทศไทยเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และหวังว่าจะดีขึ้นต่อเนื่อง พร้อมขอเชิญชวนนักท่องเที่ยวชาวจีนเข้ามาท่องเที่ยวในไทยให้มากขึ้น ซึ่งตอนนี้ประเทศไทยมีกิจกรรมการท่องเที่ยวที่หลากหลาย โดยทาง ท

ประธานชุมชนโปลิศสภา ตลาดน้อย จัดงานวันเด็ก 2567

วันอาทิตย์ที่ 14 มกราคม 2567 เวลา 15.30 น. ณ ชุมชนโปลิศสภา แขวงตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ นายปารเมศ วิทยารักษ์สรรค์  สมาชิกสภาผู้แทนราษฏรเขต 1 พรรคก้าวไกล (พระนคร ป้อมปราบศัตรูพ่าย สัมพันธวงศ์ บางรัก ดุสิต) นาย กำแหง ตันกำแหง ผู้บริหารบริษัท อุดมกิจฟิตติ้งวาล์ว จำกัด, บริษัท ยู.แทรเวล วาเคชั่นส์ จำกัด ร่วมกับนายวรเมธ จงโอฬาร (เฮียเกิด) ประธานชุมชนโปลิศสภา เขตสัมพันธวงศ์ กทม. และผู้ใหญ่ใจดี มาร่วมแจกของวันเด็ก เพื่อสร้างสีสันและความสุขให้แก่เด็กๆ ในพื้นที่อย่างมีความสุขและอิ่มแบบจุกจุก ภายในงานมีอาหารบริการให้ผู้เข้าร่วมงานให้อิ่มๆพร้อมมีของติดไม้ติดมือกลับบ้านทุกท่าน #ชุมชนโปลิศสภา #ตลาดน้อย #สัมพันธวงศ์ #ขอบคุณผู้ใหญ่ใจดี #วันเด็ก2567

กรมการท่องเที่ยว นำทีมผู้ประกอบการไทยรับ 23 รางวัล ASEAN Tourism Awards 2024 ณ นครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว เชื่อมั่นอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ยกระดับอาเซียน

กรมการท่องเที่ยว นำทีมผู้ประกอบการไทยรับ 23 รางวัล ASEAN Tourism Awards 2024 ณ นครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว เชื่อมั่นอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ยกระดับอาเซียน จากการที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มีนโยบายส่งเสริมผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวเข้าสู่มาตรฐาน ตามแผนยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยว ฉบับที่ 2 พ.ศ.2559-2568 (ASEAN Tourism Strategic Plan: ATSP 2016-2025) ซึ่งกรมการท่องเที่ยวมีภารกิจในการพัฒนาและส่งเสริมมาตรฐานการท่องเที่ยวไทย ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ทั้งสิ้น 56 มาตรฐาน รวมถึงมาตรฐานการท่องเที่ยวอาเซียน ในปีนี้กรมการท่องเที่ยวจึงได้ดำเนินการตรวจประเมินและให้การรับรองแก่สถานประกอบการและชุมชน ตามมาตรฐานการท่องเที่ยวอาเซียนทุกมาตรฐาน ได้แก่ มาตรฐานโรงแรมสีเขียวอาเซียน มาตรฐานการท่องเที่ยวโดยชุมชนอาเซียน มาตรฐานโฮมสเตย์อาเซียน มาตรฐานห้องน้ำสาธารณะอาเซียน และมาตรฐานเมืองท่องเที่ยวสะอาดอาเซียน ทำให้คว้ารางวัลมาได้จำนวน 23 รางวัล เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2567 นายจาตุรนต์ ภักดีวานิช อธิบดีกรมการท่องเที่ยว ได้นำคณะผู้แทนหน่วยงานและผู้ประกอบการเข้าร่วมพิธีการรับรางวัลการท่องเที่ยวอาเซียน ปี