ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

เอกชนไทย-จีน ตั้งทีมประสานเศรษฐกิจการค้า ดัน 9 วาระใหญ่หนุนธุรกิจ

หอการค้าไทย-จีน จับมือตั้งกลไกประสานงานและส่งเสริมธุรกิจ หนุนความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้า เปิดแผน 9 ข้อ พร้อมรับมือโอกาสและความท้าทาย แก้ไขอุปสรรคทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นระหว่างสองประเทศ

วันที่ 9 ตุลาคม 2567 ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการหอการค้าไทย คนที่หนึ่ง และตัวแทนประสานงานของกลไกประสานงานและส่งเสริมธุรกิจไทย-จีนอย่างยั่งยืน ของทั้งสามองค์กร เปิดเผยว่าหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย หอการค้าไทย-จีน และ สมาคมการค้าวิสาหกิจจีน ได้ร่วมมือการจัดตั้งกลไกประสานงานและส่งเสริมธุรกิจไทย-จีนอย่างยั่งยืน เพื่อช่วยให้ความสัมพันธ์ทางธุรกิจระหว่างสองประเทศมีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น และยังช่วยลดอุปสรรคต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะในด้านกฎหมายและข้อบังคับทางการค้า

ทั้งนี้ การจัดตั้งกลไกดังกล่าว มีเป้าหมายหลักในการสร้างความมั่นใจให้กับภาคเอกชนไทยและจีนว่าจะสามารถร่วมกันพัฒนาความสัมพันธ์ทางธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยมีแผนดำเนินการสำคัญ 9 ข้อ ได้แก่
1)การประชาสัมพันธ์ข้อมูลเศรษฐกิจและการค้าที่เชื่อถือได้ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจของสังคมไทยต่อความสัมพันธ์ไทย-จีน
2)การจัดการประชุมเป็นประจำระหว่างตัวแทนจากทั้งสองประเทศ เพื่อส่งเสริมการสื่อสารและการแลกเปลี่ยนทางธุรกิจ
3)การส่งเสริมกิจกรรมการพบปะและแลกเปลี่ยนระหว่างธุรกิจไทยและจีน ผ่านงานสัมมนาและโครงการสาธารณกุศล
4)การร่วมมือในด้านการฝึกอบรมและการศึกษาเทคนิค เพื่อเสริมสร้างทักษะด้านกฎหมาย วัฒนธรรม และแนวปฏิบัติทางธุรกิจของทั้งสองประเทศ
5)การจัดงาน Supplies Matching และงานแสดงสินค้าเพื่อเพิ่มโอกาสในการร่วมมือในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น 5G อีคอมเมิร์ซ และโลจิสติกส์
6)การส่งเสริมความร่วมมือในอุตสาหกรรมใหม่ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและเทคโนโลยีสารสนเทศ
7)การให้บริการที่ปรึกษาทางธุรกิจ เพื่อสนับสนุนการทำธุรกิจระหว่างสองประเทศให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
8)การเสริมสร้างความร่วมมือด้านสื่อมวลชน เพื่อเผยแพร่ผลสำเร็จจากการทำงานร่วมกันระหว่างไทยและจีน
9)การสนับสนุนให้ธุรกิจทั้งสองประเทศปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด
ดร.พจน์ กล่าวว่า กลไกนี้จะเป็นช่องทางหลักในการขับเคลื่อนความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทยและจีน และเราหวังว่าจะสามารถช่วยลดข้อกังวลและอุปสรรคต่างๆ ที่ภาคธุรกิจทั้งสองประเทศเผชิญหน้า พร้อมกันนี้ยังเป็นโอกาสที่ดีในการขยายความร่วมมือไปยังอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่จะช่วยเสริมสร้างเศรษฐกิจทั้งสองประเทศให้เติบโตไปด้วยกันอย่างมั่นคง อย่างไรก็ตาม สำหรับแผนการดำเนินงานในอนาคต กลไกนี้จะเป็นแพลตฟอร์มสำคัญในการเผยแพร่ข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือ ส่งเสริมการค้าและการลงทุนที่สอดคล้องกับกฎหมายและข้อบังคับของทั้งสองประเทศ

รวมถึงสนับสนุนสื่อมวลชนในการนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้อง เพื่อสร้างความเข้าใจที่ดีและเป็นกลางระหว่างสังคมไทยและจีนการจัดตั้ง "กลไกประสานงานและส่งเสริมธุรกิจไทย-จีนอย่างยั่งยืน" นี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะนำพาความร่วมมือทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศไปสู่อนาคตที่สดใสและยั่งยืน
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ได้กล่าวย้ำถึงความสำคัญว่า นอกจากประเทศจีนจะเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทยแล้ว จีนมีบทบาทสำคัญในฐานะพี่น้องที่ช่วยเกื้อกูลและพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันในทุกมิติทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม

"หอการค้าฯ ถือเป็นองค์กรภาคเอกชนไทย มีเครือข่ายทั่วประเทศกว่า 156,000 ราย โดยเฉพาะเครือข่ายหอการค้าจังหวัดทุกจังหวัด ซึ่งส่วนใหญ่จัดตั้งขึ้นโดยการรวมตัวกันของกลุ่มผู้ประกอบการไทยเชื้อสายจีน และมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจแต่ละจังหวัดให้เจริญเติบโตมาจนถึงปัจจุบัน"

ทั้งนี้ รูปแบบการค้าสมัยใหม่ โดยเฉพาะ E-Commerce มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของสองประเทศ จีนถือเป็นต้นแบบที่ดีที่สามารถสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคการผลิตและ Supply Chain ในการนำเอาเทคโนโลยีมาใช้ในภาคการผลิตจนประสบความสำเร็จ และสามารถสร้างแพลตฟอร์มระดับโลกที่สามารถเปิดตลาดการค้าของจีนได้ทั่วโลก
ขณะเดียวกัน การเข้ามาลงทุนของจีนในประเทศไทย นอกจากจะช่วยสร้างการจ้างงานและการเจริญเติบโตให้กับเศรษฐกิจไทยแล้ว ยังถือเป็นโอกาสสำคัญที่จีนจะช่วยให้ไทยสามารถยกระดับศักยภาพจากเทคโนโลยีและนวัตกรรมของจีน จึงได้จัดหลักสูตร "หลักสูตรเทพเซียน" ที่เน้นให้ผู้เรียนมีความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม การพัฒนาเศรษฐกิจและเทคโนโลยี และการใช้ภาษาจีนเพื่อการเจรจาธุรกิจ

ทั้งนี้มั่นใจว่าการจัดตั้ง "กลไกประสานงานและส่งเสริมธุรกิจไทย-จีนอย่างยั่งยืน" จะเป็นอีกหนึ่งกลไกของภาคเอกชนไทยและจีน ในการพูดคุย หาแนวทางและมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาและอุปสรรคในการค้า

ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 9 ตุลาคม 2567

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

นายกฯ เชื่อมั่นงานตรุษจีน เยาวราช ปี 2567 ปลอดภัย จัดยิ่งใหญ่แน่นอน

วันนี้ (26 มกราคม 2567) เวลา 09.00 น. ณ สนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย นำคณะผู้จัดงานตรุษจีนเยาวราช เข้าพบนายเศรษฐา ทวีสิน  นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อมอบเสื้อตรุษจีน ซึ่งมีสัญลักษณ์ “มังกร” จากภาพวาดฝีพระหัตถ์ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อประชาสัมพันธ์การจัดงานเทศกาลตรุษจีน ประจำปี  2567 ณ บริเวณถนนเยาวราช กรุงเทพมหานคร จัดขึ้นระหว่างวันที่ 10-11 กุมภาพันธ์ 2567 ซึ่งวันตรุษจีนปีนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2567 พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าเนื่องในเทศกาลวันตรุษจีนได้เน้นย้ำให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องดูแลเรื่องความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยวถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะขณะนี้นักท่องเที่ยวเริ่มกลับเข้ามาในประเทศไทยแล้ว ซึ่งปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาท่องเที่ยวประเทศไทยเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และหวังว่าจะดีขึ้นต่อเนื่อง พร้อมขอเชิญชวนนักท่องเที่ยวชาวจีนเข้ามาท่องเที่ยวในไทยให้มากขึ้น ซึ่งตอนนี้ประเทศไทยมีกิจกรรมการท่องเที่ยวที่หลากหลาย โดยทาง ท

ประธานชุมชนโปลิศสภา ตลาดน้อย จัดงานวันเด็ก 2567

วันอาทิตย์ที่ 14 มกราคม 2567 เวลา 15.30 น. ณ ชุมชนโปลิศสภา แขวงตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ นายปารเมศ วิทยารักษ์สรรค์  สมาชิกสภาผู้แทนราษฏรเขต 1 พรรคก้าวไกล (พระนคร ป้อมปราบศัตรูพ่าย สัมพันธวงศ์ บางรัก ดุสิต) นาย กำแหง ตันกำแหง ผู้บริหารบริษัท อุดมกิจฟิตติ้งวาล์ว จำกัด, บริษัท ยู.แทรเวล วาเคชั่นส์ จำกัด ร่วมกับนายวรเมธ จงโอฬาร (เฮียเกิด) ประธานชุมชนโปลิศสภา เขตสัมพันธวงศ์ กทม. และผู้ใหญ่ใจดี มาร่วมแจกของวันเด็ก เพื่อสร้างสีสันและความสุขให้แก่เด็กๆ ในพื้นที่อย่างมีความสุขและอิ่มแบบจุกจุก ภายในงานมีอาหารบริการให้ผู้เข้าร่วมงานให้อิ่มๆพร้อมมีของติดไม้ติดมือกลับบ้านทุกท่าน #ชุมชนโปลิศสภา #ตลาดน้อย #สัมพันธวงศ์ #ขอบคุณผู้ใหญ่ใจดี #วันเด็ก2567

กรมการท่องเที่ยว นำทีมผู้ประกอบการไทยรับ 23 รางวัล ASEAN Tourism Awards 2024 ณ นครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว เชื่อมั่นอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ยกระดับอาเซียน

กรมการท่องเที่ยว นำทีมผู้ประกอบการไทยรับ 23 รางวัล ASEAN Tourism Awards 2024 ณ นครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว เชื่อมั่นอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ยกระดับอาเซียน จากการที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มีนโยบายส่งเสริมผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวเข้าสู่มาตรฐาน ตามแผนยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยว ฉบับที่ 2 พ.ศ.2559-2568 (ASEAN Tourism Strategic Plan: ATSP 2016-2025) ซึ่งกรมการท่องเที่ยวมีภารกิจในการพัฒนาและส่งเสริมมาตรฐานการท่องเที่ยวไทย ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ทั้งสิ้น 56 มาตรฐาน รวมถึงมาตรฐานการท่องเที่ยวอาเซียน ในปีนี้กรมการท่องเที่ยวจึงได้ดำเนินการตรวจประเมินและให้การรับรองแก่สถานประกอบการและชุมชน ตามมาตรฐานการท่องเที่ยวอาเซียนทุกมาตรฐาน ได้แก่ มาตรฐานโรงแรมสีเขียวอาเซียน มาตรฐานการท่องเที่ยวโดยชุมชนอาเซียน มาตรฐานโฮมสเตย์อาเซียน มาตรฐานห้องน้ำสาธารณะอาเซียน และมาตรฐานเมืองท่องเที่ยวสะอาดอาเซียน ทำให้คว้ารางวัลมาได้จำนวน 23 รางวัล เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2567 นายจาตุรนต์ ภักดีวานิช อธิบดีกรมการท่องเที่ยว ได้นำคณะผู้แทนหน่วยงานและผู้ประกอบการเข้าร่วมพิธีการรับรางวัลการท่องเที่ยวอาเซียน ปี